ผ่องศรี วรนุช ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีลูกทุ่ง) ปี พ.ศ. 2535 ได้อยู่ในเส้นทางดนตรีมา 65 ปี โดยล่าสุดเธอได้มา เปิดชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบบนเส้นทางนักร้อง จากเด็กรับใช้คณะละคร สู่นักร้องลูกทุ่งระดับตำนาน และ อัปเ ดตชีวิตกับแฟนๆ ในวัย 83 ปี
ผ่องศรี ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นการเป็นศิลปินว่า “เริ่มร้องเพลงตั้งแต่อายุ 14 ปีค่ะ จริงๆเราไม่ได้ใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักร้องลูกทุ่งเลยค่ะ แต่เพราะครอบครัวเรายากจนแม่เป็นแม่ค่า พ่อเป็นตำรวจ เลี้ยงลูก 6 คน แต่พอพ่อเข้าปลดเกษียณแล้วในสมัยนั้นไม่มีเงินให้หลังปลดเกษียณแล้ว พี่น้องแม่เรียนจบ ป.4 ทุกคน เพราะแม่ไม่มีเงิน แต่เราขอแม่อยากเรียนจบ ม.3
เพราะตอนนั้น ถ้าเรียนจบ ม.3 ก็มีงานทำแล้ว แต่แม่บอกว่าเขาไม่มีเงิน เราก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเราหางานทำส่งตัวเองเรียนเอง เราก็ขายผักบุ้งบ้าง ไอติมบ้าง ขายลูกอมบ้าง พอจบ ม.3 เราสอบเข้า ม.4 ได้แต่แม่ไม่ให้เรียนแล้ว เราก็เสียใจ เราไม่ได้อยากเป็นนักร้อง อยากจะทำงานราชการ งานอะไรก็ได้ที่ได้งานไว้เลี้ยงดูครอบครัว”
นอกจากการพูดถึงการเป็นศิลปินแล้ว เธอยังพูดถึงการเข้ามาทำงานในคณะละครเร่ว่า “พอหลังพอไม่ได้เรียน ม.4 แล้วมีละครวิกไปเล่นแถวบ้าน เขาเก็บเงินค่าเข้า 3 บาท ถามว่ามีเงินไหมตอนนั้นไม่มีเลยค่ะ แต่เพราะมีคนใจดีให้เงินเราเข้าไปดู เหมือนละครเวทีเลยค่ะ แต่จะมีคนบอกบทอยู่ข้างฉาก บอกบทกันสดๆเลยแล้วนักแสดงก็จะพูดตาม คือ นักแสดงต้องใช้ความจำเยอะมาก แล้วคือ ในวันนั้นที่เราได้เข้าไปดูละครมันไม่มีที่นั่งเราเลยนั่งกับพื้น แล้เจ๊หมวย คนที่อยู่โรงละครเขาก็เรียกเราขึ้นไปนั่งข้างบน แม่ก็ขึ้นไปนั่งข้างฉาก แล้วก็ได้นั่งคุยกันเขาเลยชวนเรามาอยู่โรงละครด้วยกันไหม
เราก็บอกเขาว่าเรายังเด็กอยู่เขาไม่รับหรอกเป็นเด็กบ้านนอก ดำก็ดำ สวยก็ไม่สวย เจ๊หมวย เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวไปพูดกับคุณหนูให้ คุณหนูเขาบอกว่าต้องไปพาพ่อแม่มาฝากนะ เราก็เลยพาแม่ไปฝากเข้าไปอยู่โรงละคร เพราะเราคิดว่าถ้าเราได้ทำงาน หรือ อยู่ที่โรงละคร เวลาที่พี่ๆ น้องๆ เขาออกเรือนกันไปหมดแล้วเรายังทำงานเลี้ยงแม่ได้ ข้าไปตอนแรกคือ เราเข้าไปในฐานะรับซื้อของให้กับคนในโรงละคร อย่าง เขาอยากได้น้ำ อยากกินอะไรเราก็ไปซื้อให้ แล้วก็นั่งชักฉาก เปลี่ยนฉาก ได้วันละ 3 บาท”
พอเล่าถึงจุดเริ่มต้นในคณะละครเสร็จ ผ่องศรีก็เล่าถึงสิ่งที่ทำให้เธอได้กลายเป็นนักแสดงว่า “แม่ก็บอกว่าคุณหนูจะให้ทำอะไรเราทำได้ทุกอย่างเพราะแม่จะนั่งอยู่ข้างฉากตลอดเวลา ก็ใช้เป็นครูพักรักจำ เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างนั้น เต้นระบำได้ไหมมีผู้หญิง 6 คน เล่นละครเรื่อง สโนว์ไวท์ เต้นระบำแขกแม่ก็ได้เต้นระบำตรงนั้นและประสบความสำเร็จ ก็เลยได้ไต่เต้าตรงนั้นขึ้นมา
แต่ยังไม่ได้เป็นนางเอกละครนะคะ เป็นตัวแม่ก่อน อยู่ตรงนั้นเกือบจะสองปี แล้วคุณหนู ถามว่าทำอะไรได้อีก ร้องเพลงเป็นไหม แม่ก็บอกว่าเป็นค่ะ แต่พอแม่ร้องคือ แม่ไม่รู้ว่าจะออกเสียงควบกล้ำยังไง ครูรบก็เลยมาสอนให้ 4 คำ กลับ เกลียด โกรธ รัก ครูให้ไปท่องมาให้ได้ก่อน พอคล่องแล้ว ค่อยเอาเพลงมาสอนต่อ”
หลังจากที่เล่าถึงชีวิตช่วงที่อยู่โรงละคร ผ่องศรีก็เล่าถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอได้ทำเพลงว่า “ตอนนั้นแม่เก็บเงินที่ทำงานอยู่ในโรงละครได้ 20,000 บาท ที่สมัยนั้นเราเริ่มจากที่เราได้วันละ 3 บาท แล้วพอแม่มาร้องหน้าม่านแม่จะได้รางวัลด้วย แม่เก็บเงิน 2 บาท ใช้ 1 บาท พอมาเป็นนางรำเราก็ได้ 300 เรื่อยไป 500 ก็เกือบมาเรื่อยๆจนได้ 20,000 เราเลยเข้ามาในกรุงเทพฯ เพราะอยู่ตรงนั้นไม่มีใครอัดเสียงได้ เราเลยบอกครูว่าไปซื้อเพลงได้ไหมเลยได้ ไปเพลงของพี่สุรพล มาในราคา 300 บาท แม่เลยได้อัดเพลงนั้น ช่วงจังหวะที่แม่ได้บันทึกเพลงนั้นมันมีจังหวะ ชะ ชะ ช่า
แม่ก็ได้ร้องเพลงมันเลยดัง แต่คนไม่รู้จักตัวเรา ชื่อเพลงที่เราร้องตอนนั้นคือ “หัวใจไม่มีใครครอง” หลังจากที่อัดเสียงแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเขาจัดงานให้กับคุณแม่เขา เขาก็เชิญ ลูกทุ่ง ลูกกรุง ไปกันหมดเลย พวกพี่เขาก็ขึ้นร้องกันพอถึงคิวเราก็ขึ้นไปร้อง แล้วพอเราลงจากเวทีมาเราก็ยกมือไหว้ (ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้จักเลยว่าเป็นพี่สุเทพ พี่สุรพล) แต่เขาคงถูกซะตาเรา ครู สุรพล สมบัติเจริญ เขาก็ถามว่าครูรบไปเอาเด็กคนนี้มาจากไหน เรียบร้อย นิสัยดี เสียงดี
เดี๋ยวถ้าหากว่ามีเพลงมีอะไรจะติดต่อมานะ (เมื่อก่อน โทรศัพท์ก็ไม่มีต้องมาหากันที่บ้าน) บางทีครูเขามาหานั่งรถมามีเนื้อเพลง แต่ยังไม่ได้อัดเสียงนะคะ ต่อเพลงกันให้จำเนื้อเพลงให้ได้ก่อน ถ้าเราจำได้เมื่อไหร่ ก็จะกลับมาหาอีกครั้งแล้วจะได้จองห้องอัดเสียงไปอัดเสียงกันอีกครั้ง” ซึ่งหลังจากนั้นเธอก็ได้ร้องเพลงสร้างชื่ออย่าง “ลืมไม่ลง” และ “ไหนว่าไม่ลืม”
เมื่อโ ลดแ ล่นในวงการมาหลายปี ผ่องศรีก็ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ โดยเธอได้เล่าความรู้สึกที่ได้รับรางวัลว่า “แม่ได้รับพระราชทานปี 2535 ค่ะ ตอนนั้นไม่รู้ตัวเลยแม่ยังไม่รู้เลยว่าศิลปินแห่งชาติคืออะไร ตอนนั้น แม่ถูกรับเชิญไปร้องเพลงที่ระยอง แล้วภรรยาของกำนัน หรือ ผู้ใหญ่บ้าน เขาดูทีวีแล้วเขาเห็นว่าเราได้รับพระราชทาน ก็ปั่นจักรยานมาบอกว่าแม่เขาได้ศิลปินแห่งชาติ ตอนนั้นเรายังไม่รู้สึกอะไรเพราะเราไม่รู้ว่าคือ รางวัลอะไร
แต่พอกลับมาบ้านเราเห็นหนังสือพิมพ์เห็นข่าวเราลงอยู่ แทบจะเป็นลมเลยไม่คิดว่าเราจะได้ตรงนั้นขึ้นมา ซึ่งกว่าที่เราจะมายืนอยู่จุดนี้ได้เราต้องขอบคุณคุณแม่ของเรามากๆ ในวันที่เราบันทึกเสียงพอแม่ของเราทราบท่านก็ดีใจ แล้วเราก็บอกแม่ไว้ว่า แม่จำไว้นะถ้าหนูเข้ากรุงเทพฯ แม่ให้ทองมาสลึงหนึ่ง ถ้าลำบากกลับมานะแม่เลี้ยงได้ เราบอกว่าแม่จำไว้นะถ้าหนูเข้ากรุงเทพฯ ถ้าหนูไม่มีบ้าน ไม่มีที่ดิน จะไม่ย้อนกลับมา จะไปตายเอาดาบหน้า แต่ถ้าวันใดที่หนูมีบ้านมีที่ดิน หนูจะรับพ่อแม่มาเลี้ยงให้หมดทุกคน และแม่ก็ทำได้พาครอบครัวมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่”
เรียกได้ว่ารุ่นพ่อเเม่ของเราอาจจะรู้จักสำหรับ แม่ผ่องศรี วรนุช เป็นศิลปินแห่งชาติ นักร้องเพลงลุกทุ่งปัจจุบันอายุ 83 ปี แม่ผ่องศรีได้รับฉาย าว่า ราชินีลุกทุ่ง (คนแรก) เกิดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ที่อำเภอมโนรมย์
จังหวัดชัยนาท ในวัยเยาว์ ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดแก่นเหล็ก เมื่ออายุ 15 ปี ได้เริ่มทำงานกับละครเร่คณะคุณหนู โดยเป็นคนรับใช้ ก่อนจะได้ร้องเพลงสลับฉากจนได้เป็นนางเอกของคณะ และ เริ่มอาชีพนักร้องเมื่อปี พ.ศ. 2498 จน
โ ด่งดังในฐานะนักร้องและประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพการทำงานในช่วงปี พ.ศ. 2502 ถึงปี พ.ศ. 2523 และ ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (นักร้องลุกทุ่ง) ประจำปีพุทธศักราช 2535 ทั้งนี้
ชีวิตปัจจุบันของแม่ผ่องศรีที่ต้องบอกเลยว่าแม้จะอายุ 83 ปีแล้วแต่ยังคงสุขภาพดี ทั้งนี้ทางด้านชีวิตส่วนตัว แม่ผ่องศรี เคยใช้ชีวิตอยู่กับ เทียนชัย สมย าประเสิรฐ นักร้องนักแต่งเพลงลุกทุ่งชื่อดัง ก่อนที่
จะแยกทางกัน จากนั้นได้มาใช้ชีวิตอยู่กินกับ ราเชนทร์ เรืองเนตร นักดนตรีชื่อดัง จน ราเชนทร์ จากไปไปเมื่อ พ.ศ. 2541 โดยไม่มีทาย าท และบั้นปลายของชีวิตนั้น ผ่องศรี วรนุช ตั้งใจไว้ว่าจะรับงานเป็นครั้งคราว และ ช่วยกิจก รรมงานการกุศลและ
สาธารณประโยชน์ ซึ่งเจ้าตัวได้ สร้าง พิพิธภัณฑ์ ผ่องศรี วรนุช เพื่อจัดแสดงประวัติความเป็นมา และรางวัลทรงเกียรติยศที่ได้จากการเป็นนักร้อง โดยเปิดให้ผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องราวในอดีตได้เข้าชมฟรีย่ านพุทธมณฑล สาย 5 ทั้งนี้แม่ผ่องศรีเคยออก
มาให้สัมภาษณ์ด้วยว่า “ฝากถึงศิลปินทุกๆ คน ว่า อย่าท้อ ถ้าท้อก็อย่าถอย ความฝันของเราก็ไม่ไกลเกินฝัน แม่ต่อสู้ชีวิตมาตั้งแต่อายุ 14 ปี
มาถึงวันนี้ความฝันก็สมหวัง ขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงที่รายงานข่าวว่าแม่อยู่อย่างไร และ ประชาชนทุกคนที่ให้กำลังใจแม่มาตลอด
วันนี้แม่มีบ้าน มีที่ดิน มีทุกสิ่งทุกอย่างก็เพราะประชาชน ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ที่สั่งสอนให้เป็นคนอดทนประหยัด กตัญญูรู้คุณ แม่ปฏิบัติตนตามนั้นตลอด